วิ่งสิครับวิ่ง หากคิดอะไรไม่ออกก็ขอให้ออกไปวิ่ง เมื่อวานในช่วงที่ฝึกเป็นครูสำหรับเตรียมพร้อมเรื่องการสอนที่ไม่ใช่เรื่องวิชาการแพทย์จ๋าๆจากครูนักบินนั้น ผมติดใจเรื่อง “การตั้งคำถาม”

ถามเพื่อให้ผู้เรียนคิด คำตอบที่ได้มาก็ต่อยอดคำถาม ถามเพื่อตะล่อมให้ได้คำตอบซึ่งจะได้ตรงกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้ก่อน เลิกจากการเรียนนั้น ครูก็แพล็มออกมาว่า ในวันนี้จะต้องมีช่วงของการฝึกวางแผนการสอน โดยต้องเขียนเป้าหมายและจุดประสงค์ให้ชัดเจน

ชัดเจนยังไงเหรอ มันต้องเฉพาะเจาะจง วัดผลได้จริง ทำได้จริงๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการทำจริงๆ และเหมาะสมกับเวลา เอาเหอะ อย่าได้ใส่ใจตอนนี้ เพราะผมเองก็คงยังไม่เก่งพอที่จะสรุปออกมาเป็นคำสวยๆ หรือทำให้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่สำคัญ ผมยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าจะทำเรื่องอะไรดี ดังนั้นจึงต้องหาตัวช่วย นั่นคือการใช้สารเอ็นดอร์ฟินมากระตุ้นสมองส่วนความคิดสร้างสรรค์

“เอ็นดอร์ฟิน”
คิดถึงเอ็นดอร์ฟิน ผมคิดถึงออกัสซั่ม 
บ้าแล้ว จะคิดเรื่องงานสักที ต้องออกัสซั่มกันทีนี่ เมียผมคงได้พิโรธ
ดังนั้น ผมคงต้องพึ่งเอ็นดอร์ฟินจากการวิ่งได้เพียงอย่างเดียวสินะ
……………………….

วันนี้ ๒๔ มค ๖๒ 

บทเรียนของผมเริ่มจากการ “สังเกตพฤติกรรม” ครูเปิดคลิปหนังเรื่อง “เมีย ๒๐๑๘” ให้ดู แล้วให้พวกผมสังเกตดูว่า พฤติกรรมของตัวละครมีอะไรบ้าง บทเรียนนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า ความจริง และ การแปลงความจริงไปตามอารมณ์ความรู้สึกนั้น มันไม่เหมือนกัน แต่เรามักจะหยิบเอาไอ้ความรู้สึกของเรานี่แหละ มาแปลความหมายของสิ่งที่เห็นบ่อยๆ เช่น พลอยใสทอดสายตามองไปยังนังเมียน้อยคนนั้นอย่างสะใจ

เห็นไหม แค่พฤติกรรม “การมอง” เท่านั้น เรากลับแปลไปตามอารมณ์และประสบการณ์ แถม ดีไม่ดี เรายังเพิ่มความรู้สึกหมั่นไส้แถมเข้าไปให้อีกด้วย ดูเหมือนมันโอเคนะครับ แต่จริงๆแล้วมันไม่โอเค เพราะเราจะไปรู้ใจเขาได้อย่างไร

คนๆนั้นร้องไห้ เขาน่าจะเสียใจ แต่อย่าลืมว่า คนบางคนเมื่อดีใจก็ร้องไห้ ตื้นตันใจก็ร้องไห้ (อันนี้ผมเป็นบ่อย) หรือเจ็บปวดก็ร้องไห้

การร้องไห้คือพฤติกรรมที่เราเห็น ส่วนเสียใจ ดีใจ หรือกระทั่งเจ็บปวด คือการตัดสินแปลงความหมายของเราเอง การรีบด่วนตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่เห็น จะทำให้เราเกิดความลำเอียง หรือเข้าใจเรื่องราวต่างๆผิดไป การตัดสินคนอื่น ง่ายเสมอ มันเกิดขึ้นเร็วกว่าเรากระพริบตาเสียอีก

ต่อมาคือการฝึกเรื่อง “การฟัง”
ด้วยกิจกรรมการฟัง ทำให้ผมตระหนักว่า มันไม่ง่าย

เพราะครูเริ่มต้นด้วยการให้เราเล่าเรื่องความรักให้คู่ของเราฟัง

มันจะไปง่ายได้อย่างไร ในเมื่อผมมีความรักตามรายทางมาตลอดชีวิต จะเอาตอนไหนล่ะ ก่อน ๗ ขวบกับความรักเด็กผู้หญิงคนนั้นที่อำเภอหลังสวน หรือตอนประถมปลายๆอีกสักครั้ง ที่ผมฝันถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เราพบกันใต้ต้นไม้ แล้วผมก็ปักใจเชื่อมาตลอดว่าเธอน่าจะเป็นคู่แท้ หรือในโลกแห่งความจริง ที่ผมเริ่มมีความรักเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ป.๔ ป.๕ และ ๖ ได้เว้นช่วงสักนิดก็ตอนม.๑ ถึง ๓ นั่นเพราะอยู่โรงเรียนชายล้วน แต่จะว่าไปก็ไม่ได้ไร้รักสักทีเดียวเพราะผมยังรักลึกถึงเธออยู่เนืองๆ 

ล่วงขึ้นมาชั้น ม.ปลายก็มีความรักกระตุกใจอีก ๓ หรือ ๔ ครั้ง จนถึงวัยมหาวิทยาลัยก็…หูย นึกแล้วตาชื้นจมูกแฉะขึ้นมาทันที เห็นไหม การเรียนในวันนี้มันทำให้ผมลำบากใจ เพราะก่อนที่จะฟังเป็น เราต้องเล่าเป็น หาเรื่องเล่าได้ แล้วผมจะเล่าเรื่องไหนดี สงสารผมไหม

หลายครั้งที่เราฟังแต่ไม่ได้ยิน

หลายครั้งฟังอย่างไม่ตั้งใจ

หลายครั้งฟังแล้วเถียงเขาก่อนพูดจบ

หลายครั้งอีกหลายๆครั้งเลย ที่ผมยังคนเป็นผู้ฟังที่ไม่เอาไหน

การฟังด้วยหัวใจคือสิ่งทึ่ครูพยายามสื่อ

การฟังที่ดีบำบัดผู้พูด เชื่อไหม เพราะบางครั้ง เขาพูดให้เราฟังก็เพียงเพื่ออยากจะให้เราไปอยู่ในใจเขา รับทราบความรู้สึกเขา ยอมรับความคิดอย่างที่เขาเป็นหรือรู้สึก

ในช่วงเวลานี้ ผมแอบเสียน้ำตาไปกับการดูคลิปของคุณเป้ อารักษ์ กับการฟังที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เหลือของเขา

การฟัง ที่บำบัดทั้งผู้พูดและผู้ฟัง

ผมคิดถึงเธอคนนั้นขึ้นมาจับใจ

“เธอกำลังจะบอกหมอว่า เธอจะกลับไปคบกับผู้ชายคนเดิมนั้นเหรอ” ผมถามสตรีที่รู้จักกันมานานในวันที่เธอมาขอรับการฉีดยาคุมกำเนิด ถ้าสังเกตจากน้ำเสียง คงเข้าใจได้ว่า ผมกำลังตัดสินเธอในเรื่องอะไรสักอย่าง นั่นเพราะผมทราบมาก่อนแล้วว่า คู่ชีวิตคนนี้ของเธอได้ตัดสินใจแยกทางจากกันด้วยเหตุการทะเลาะและทำร้ายร่างกายกัน

“ค่ะหมอ” เธอคงยิ้มแบบที่มีอะไรในใจสักอย่าง

นี่ถ้าผมเข้าเรียนในวันนี้ก่อน ผมคงเลือกที่จะถามใหม่

“เธอมาฉีดยาคุม เพราะกำลังจะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาใกล้ๆนี้ใช่ไหม” เห็นไหมว่ามันต่างกัน

อันแรก ผมปรุงแต่งไปเองว่าต้องไปมี sex กับชายคนนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ควรนะ มันเคยทำร้ายร่างกายด้วยนะ แต่อย่างที่สอง ผมถามแค่พฤติกรรมการคุมกำเนิดตามปกติ

“เธอรู้สึกยังไงล่ะ ทำไมจึงต้องเป็นเจ้าคนเดิมคนนั้นด้วย” ผมยังคงจิก

“ไม่รู้สิคะหมอ” เธอคงชะงักเล็กน้อยที่ผมถามออกไปแบบนั้น

“แสดงว่าเธอรักเค้าน่ะสิ” ผมยิ้ม 

เธอพยักหน้า

“บางที มันก็บอกลำบากนะคะหมอ ความรัก ความโหยหา ความเสน่หา มันบอกยากมาก” เธอเริ่มอธิบาย

“น่าสนใจจัง” ผมแสดงความสนใจใคร่รู้ ทั้งๆที่จริงๆก็ไม่ได้กระหายใคร่รู้ไปมากกว่าเพียงแค่รู้สึกว่า เธออยากจะเล่าอะไรออกมาอีกเท่านั้น

“เวลาที่โกรธกัน ก็โกรธนะคะ เวลาทะเลาะกันเค้าก็พลั้งมือมาบ้าง แต่เวลาปกติ เค้าก็ดูแลเราดี นี่เลิกกันไปตั้งนานก็รู้อยู่ว่าเค้าไม่เคยมีใครเลย” ฮั่นแน่ ความรักทำให้คนตาบอดอีกแล้ว นี่คือการตัดสินของผมอีกแล้ว มันดังออกมาจากใจผม แต่การรีบวางและทำหน้าที่ต่อไปยังคงดำเนิน ผมมองตาเธอแทนการพูด

เงียบไปอึดใจ

“เธอรักเขา” ผมใช้น้ำเสียงทุ้มนุ่มได้อย่างน่าตบ

“ค่ะ” เธอยิ้มดูโล่งใจที่ได้ตอบมาแบบนั้น แล้วการตรวจวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก การฉีดยาคุมกำเนิดก็ดำเนินไป

“รักษาเนื้อ รักษาตัวนะจ๊ะ อย่าลืมรักษาหัวใจของลูกเธอด้วย” ผมทิ้งท้ายก่อนที่เราจะจบการสนทนากันจริงๆ

ผมยังคงต้องฝึกทักษะการฟังเพิ่มขึ้นอีกมาก

เล่าไปไกล มาถึงบทเรียนวันนี้กันต่อ
คราวนี้ก็มาจบด้วยการสร้างกระบวนการเรียนแบบสั้นๆ

ผมมีเวลาเพียง ๕ นาที ในการแนะนำตัวเอง แนะนำจุดประสงค์ของการมาพูดคุย ใช้เวลาเพียงสั้นๆ แล้วนำเข้าสู่การสนทนาหลัก เมื่อใกล้ครบเวลาก็สรุปการสนทนา

จบได้สวยเพราะเตรียมตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน

ผมออกวิ่งตั้งแต่ ๒ ทุ่มครึ่ง กะว่าจะวิ่งสัก ๘ กิโลเมตร ความคิดมันฟุ้งมาก คิดจนลืมเหนื่อย แต่มันก็ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย เรื่องบางเรื่องมันกวนใจ ผมก็ถือโอกาสนี้เคลียร์มันออกไปทีละหน่อย

วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ผมต้องบรรยายเรื่องทำแท้งที่งานประชุม “sex symposium” ผมจะพูดอย่างไรดีในเวลาแค่ ๒๐ นาที ผมทราบมาว่า การไม่สนับสนุนเรื่องทำแท้งยังคงดำเนินต่อไปและมีเรื่องใหม่ให้ปวดหัวกันอีก ผมจะแก้ปัญหาอย่างไร คิดหลายเรื่อง แต่กลับคิดเรื่องของการบ้านงานกลุ่มไม่ออก

เกือบรอบสุดท้ายแล้ว ผมวิ่งตามหลังคุณลุงคุณป้าวัยเกษียณคู่รักคู่นั้น

ท่านทั้งคู่คงเดินย่อยข้าวมื้อค่ำ (การเดินคือ พฤติกรรม แต่ย่อยข้าวมื้อค่ำนี่ผมปรุงแต่ง)
ท่านทั้งคู่เดินจูงมือกันอย่างน่ารัก (เดินจูงมือกันคือ พฤติกรรม แต่อย่างน่ารักนี่คือผมอิน)

เอ๊ะ ดูซิ คุณป้าแกเอื้อมมือมาโอบเอวสามีเธอด้วย (การเห็นมืออยู่ด้านหลังคือพฤติกรรม แต่การโอบ เป็นการคาดการณ์ เพราะแสงมันสลัวมาก) ผมวิ่งเข้าใกล้ทั้งคู่มากขึ้น มันมีแรงขึ้นมาเพราะความรักของทั้งคู่แผ่กระจายเผื่อมาถึง ดูซิ เค้ารักกันมานาน และยังไม่มีท่าทีจะจืดจาง ป้าโอบเอวลุงด้วย

แต่เอ๊ะ..

มันไม่ใช่..มือที่เห็นและคิดว่าคุณป้าโอบเอวลุงนั้น แท้จริงแล้วมันคือลุงแกเอื้อมมือมาเกาตูดตัวเองต่างหาก แล้วผมก็คิดหัวเรื่องของการบ้านออกในทันที

ขอบคุณคุณลุงเกาตูดจากใจ
ธนพันธ์ ชูบุญคันตูดเลย
๒๔ มค ๖๒

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 1 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 1

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้