“อ้อมครับ พี่จะไปสิชล เธออยู่ชะอวดมั้ย พี่จะแวะกินข้าวที่นั่น” ผมส่งข้อความหาเจ้าถิ่น ผมเดินทางผ่านปากทางเข้าชะอวดมานานนับได้เกิน ๒๐ ปี ไม่ผ่านทางด้านทิศตะวันตกทางถนนสายหลักของภาคใต้ ก็ผ่านทางทิศตะวันออกเส้นที่เข้าทางบ่อล้อ สายนครศรีฯ-หัวไทร

ชะอวดเหมือนเมืองที่ถูกทิ้ง เพราะหากจะไปชะอวด มันต้องมีเหตุผล หรือมีจุดประสงค์ เราจึงจะตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไป วันนี้เป็นวันดี วันที่ผมต้องเดินทางไปสิชลคนเดียว เวลาเป็นของผม ดังนั้น ชะอวดจึงเป็นหมุดหมายระหว่างทางสักที

“นู๋อยู่ตรังค่ะพี่” เออ อันนี้อ้อมตัวจริง “นู๋” แบบนี้ สำหรับผม คือมันคนเดียว
“พี่จะแวะกินข้าวเที่ยงมั้ย ร้านเยี่ยมโอชา น้ำพริกแมงดาอร่อยมาก อาจารย์ประเสริฐกินข้าว ๓ ชาม” เธอเริ่มขายของ

“พี่หมายความว่าจะหาคนเลี้ยงข้าว”
“ฮาย ก็แวะตะ เจ้าบ้านไม่อยู่ก็จัดการได้” เธอยังขายของไม่เลิก

“เดินทางคนเดียว กินคนเดียวไม่สุด” ผมชักลังเล สงสัยได้ไปสิชลในเส้นทางเดิม คือไปเลี้ยวเข้านครศรีฯ ที่แยกสวนผัก

แล้วผมก็เลิกติดต่อเธอไประยะหนึ่งเพราะวันนี้เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ คนไข้มาหาที่คลินิกตั้ง ๕ คน คุยเพลินจนถึงเวลา ๑๑ ครึ่ง ผมจึงรีบปิดร้าน

“เอาเป็นว่า พี่อาจจะแวะเข้าไปกินที่ชะอวด น้องบอกเมนูที่ต้องกินมา ไม่งั้นพี่จะกินข้าวมันไก่ของเจมส์เรืองศักดิ์” ผมตัดสินใจก่อนออกจากคลินิก

“เอาที่ถูกปากนู๋กินประจำนะคะ กุ้งแม่น้ำต้มกะทิหน่อไม้ดอง กุ้งแม่น้ำอบเกลือ น้ำพริกแมงดา สะตอ เผาผัดผักบุ้งไฟแดง” เห็นไหม เธอขายของเก่งพอใช้ทีเดียว

“เออ ตามนั้น เองกุ้งต้มกะทิ และน้ำพริกแมงดาพอจ๊ะ” กินคนเดียวนี่นา สั่งแค่นี้ก็พอ 

แล้วผมก็ขับรถออกจากหาดใหญ่ตอนเที่ยงตรง

…………………..

เช้าตรู่ราวตี ๕ ของวันนั้นในวสันตฤดู เอิ่ม..นิยายไป

ที่หาดใหญ่บ้านผมคงไม่มีไอ้ฤดูอย่างที่ว่านี้เป็นแน่แท้ เรามีเพียงฤดูร้อนและฤดูฝน หากวสันต์จะพัดผ่านและดอกไม้ต่างผลิบาน มันก็คงแค่ลมพัดความเย็นชื้นหลังฝนตก และดอกเห็ดราก็เริ่มผลิบานริมผนังบ้านพอให้เยื่อบุรูจมูกอักเสบ น้ำมูกน้ำตาไหลเพราะอาการแพ้ละอองฝุ่นเห็ด

เสียงเรียกทางโทรศัพท์ดังขึ้นมาได้ปลุกให้ “เชียร์” หมอเวรในคืนนั้นรีบลุกขึ้นและตาสว่าง

“หมอเชียร์ คนไข้อายุ ๑๘ ปี กำลังจะคลอดก่อนกำหนด”
เสียงเรียกจากต้นสายดังมาจากห้องคลอด

เธอเป็นเด็กหญิงสาวหน้าตาดี ผมยาวเลยบ่าลงมาเล็กน้อย กำลังร้องโอดครวญเพราะความเจ็บปวด เธอกำลังจะคลอดลูก

มันไม่ปกติ เพราะอาการปวดท้องคลอดนั้นมันเกิดจากการไปซื้อยาทำแท้งมาสอดในช่องคลอดราว ๔ เม็ดเมื่อตอนดึกที่ผ่านมา และการตั้งครรภ์ตอนนี้มันก็ล่วงมาจนเข้าสู่ไตรมาสที่สามเข้าไปแล้ว

ผมเป็นเพียงผู้ฟัง ที่เมื่อได้ฟังก็เกิดอาการหดหู่ เพราะยาทำแท้งที่ว่านั่นหากสอดเข้าไปในช่องคลอด ๔ เม็ดในขณะที่อายุครรภ์น้อยไม่เกิน ๑๒ สัปดาห์ ก็อาจจะแท้งได้ตามปกติ มันทำให้มดลูกบีบตัวอย่างรุนแรงแล้วบีบให้การตั้งครรภ์นั้นแท้งออกมา

แต่นี่เป็นการสอดยาทั้ง ๔ เม็ดเพื่อหวังการแท้งในไตรมาสที่สามไง 

เฮ้ย มันไม่ใช่การทำให้แท้ง แต่มันทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด เด็กมันออกมารอดชีวิตร้องอุแว้เสียงดัง

เรื่องนี้ไม่น่ากลัว เพราะเด็กเกิดก่อนกำหนดเดี๋ยวนี้จัดการได้ง่ายขึ้น หมอเด็กเค้าเก่งมากในการรักษาชีวิตเจ้าตัวน้อยที่คลอดออกมา

แต่เราจะกลัวแม่มันเกิดอันตรายนี่น่ะสิ ยาทำแท้งแม้เพียง ๑ เม็ดที่ใช้ในมดลูกโตๆ มันทำให้มดลูกแตกได้ และทำให้ผู้หญิงท้องตายได้ไงล่ะ

“ใจเย็นๆ ค่อยๆ เบ่งช้าๆ” หมอเชียร์พยายามให้สาวน้อยรายนั้นสงบสติอารมณ์จากความเจ็บปวด ปากมดลูกมันเปิดจนสุดแล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่การค่อยๆ เบ่ง

เด็กคลอด และมีหมอเด็กมารับตัวไป ตัวมันเล็กนิดเดียว ซึ่งหากจะคาดคะเนอายุครรภ์ก็น่าจะอยู่ในช่วง ๒๘ สัปดาห์ มันคือการกะด้วยสายตาล้วนๆ เจ้าตัวน้อยดูป้อแป้ ผิวมันซีดเซียวชอบกล เอาเหอะ เดี๋ยวหมอเด็กเค้าจัดการต่อ

และเพียงครู่หนึ่ง รกก็คลอดตามออกมา และเลือดก้อนใหญ่ไหลทะลักตามออกมาด้วย 

แม่สาวน้อยเธอหมดสติและหัวใจหยุดเต้นในทันที

“พี่ arrest” หมอเชียร์ตะโกนเสียงดัง และเพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที พยาบาลห้องคลอดก็วิ่งกรูกันเข้ามา คนหนึ่งโทรศัพท์ตามทีมมาช่วย คนหนึ่งรีบแทงหาเส้นเลือดเพิ่มเติมที่แขนอีกข้างเพื่อให้น้ำเกลือ คนหนึ่งเปิดรถเข็นฉุกเฉินนำยากู้ชีพต่างๆ ออกมาตามที่หมอเชียร์สั่งการ

การขึ้นปั๊มหัวใจเริ่มดำเนินไป 

หมอหลายคนมารุมกัน ผลัดกันขึ้นปั๊มหน้าอก นาทีแล้วนาทีเล่า ยาหลายหลอดถูกฉีดเข้าหลอดเลือด นาทีแล้วนาทีเล่า เลือดของเธอออกจากช่องคลอดจนเริ่มชุ่มผ้ารองเตียงคลอดนั้น 

“เลือดมาแล้ว ใช้ไซริ้งส์ปั๊มเลือดเข้าไปเลย”

นาทีแล้วนาทีเล่า หัวใจเธอยังไม่สามารถเต้นได้ด้วยตัวเอง เหงื่อของหมอชุ่มจนเสื้อเปียก

นาทีแล้วนาทีเล่า การกู้ชีพที่เริ่มกันมาตั้งแต่ราว ๖ โมงเช้า มาตอนนี้ก็ล่วงเข้า ๑๐ โมงครึ่ง

“พอเถิดนะ เค้าคงไม่ไหวแล้วจริงๆ” เมื่ออาจารย์แพทย์บอกเช่นนั้นการกู้ชีพจึงได้หยุดลง

“เธอ” เจ้าคนสวย เธอสิ้นอายุขัยเมื่ออายุผ่าน ๑๘ ปีมาได้ไม่นาน เธอท้อง ท้องโดยที่พวกเราไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก และพวกเราก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรต่อจากนี้อีกเลย

ความเหนื่อยล้า ทำให้หมอเชียร์ ซึ่งในยามนั้นที่ง่วงแสนง่วง แต่การล้มตัวลงนอนเพียงของีบหลับไม่สามารถทำให้เขาหลับได้ลึกพอ มันเหมือนเคลิ้มๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น

“เอ๊ะ..ใครยืนอยู่ตรงนั้น” เชียร์เผยอตามองดู 

ตรงนั้นอาจจะเป็นทีวี แต่นั่นทีวีมันปิด

ข้างๆกันมันคือตู้เย็น หรือนั่นคือตู้เย็น 

“ไม่ใช่ มันคือคนนะ”

เธอคือผู้หญิง เค้ามายืนในห้องพักหมอผู้ชายได้อย่างไร ผู้หญิงผมยาว ปลายผมเลยหัวไหล่ลงมาเล็กน้อย เธอคือคนท้อง ตัวเปียก เธอก้มหน้ายืนอยู่ที่ปลายเตียงแล้วตัวก็ขยับเลื่อนห่างออกไป

“เชี่ยแล้ว” นั่นคือผมที่เป็นคนอุทาน

หึหึ นี่ผมกำลังเล่าเรื่องของเชียร์อยู่นะครับ ไม่ใช่เรื่องของผม อย่าลืมสิ เรื่องแบบนี้เกิดกับผมไม่ได้ ผมไม่ยอมหรอก 

“ผมก็นอนไม่หลับแล้วครับ ยังไงก็ต้องลุกขึ้นมาดู” 

“เออ..มึงแน่มาก” อันนี้ผมคิดในใจ

“ไม่มีคน ไม่มีผู้หญิงคนเมื่อกี๊ แต่พื้นห้องที่ปลายเตียงผมเปียกน้ำ” เชียร์เว้นช่วง

“เพื่อนเดินเข้ามั้ย มันอาบน้ำแล้วเช็ดตัวไม่ดีไง” ทฤษฎีนี้ถูกคิดขึ้นมา

“ผมก็โทรไปหารูมเมทผมสิครับอาจารย์ มันยังยุ่งอยู่บนวอร์ดอยู่เลย ไม่ได้กลับมาอาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน” นั่นแน่ แล้วเอ็งจะไปถามให้กระจ่างใจอีกทำไมวะ

อันที่จริงก็คงยังไม่กระจ่างสักเท่าไหร่นะ มันไม่เคลียร์ใจเพราะยังไงก็เป็นเพียงภาพลางๆ

ในค่ำวันเดียวกันนั้น เชียร์ต้องเดินไปทำธุระที่ห้องคลอด

ห้องคลอดในวันที่หมอเชียร์ไม่ได้เป็นหมอเวรมันดูว่าง ล็อกที่เป็นส่วนของคนไข้ใกล้คลอดไม่มีคนไข้ ไฟจึงถูกเปิดเพียงน้อยดวง พยาบาลนั่งคุยกันบ้าง บางคนกำลังตรวจสอบเครื่องมือและยาคงเหลือในเวร

เสียงเพลงจากวิทยุดังมาจากเตียงนั้น เตียงกลาง เตียงที่คนไข้รายนั้นนอนอยู่ก่อนที่จะย้ายไปเบ่งในอีกห้องหนึ่งเมื่อตอนหัวรุ่ง

ในสมัยนั้น การเปิดเพลงเพื่อลดความเครียด ลดความเจ็บปวดขณะปวดท้องคลอดนั้นกำลังเป็นที่นิยม หลายๆ เตียงจึงมีเครื่องเล่นซีดีวางอยู่ หมอเชียร์เดินเข้าไปเพื่อที่จะปิดมัน เพราะตรงนั้นไม่น่ามีใครต้องการใช้เสียงเพลง

“แปลกจัง ทำไมพี่พยาบาลไม่มาปิด” เชียร์คงสงสัย

แต่เอ๊ะ…มันไม่ได้เสียบปลั๊กนี่นา แล้วเสียงเพลงมันดังมาจากตรงไหน

“เหมือนใครมองอยู่” มันคงเป็นความรู้สึกสินะ เพราะการถูกจ้องมองพวกเราก็รู้สึกได้ หรือไม่ก็เห็นจากหางตา

ไม่มีใคร

แต่มันต้องมีสิ รู้สึกได้ตลอดเวลา

แล้วเชียร์ก็มองลงไปที่ใต้โต๊ะวางเครื่องมือติดตามหัวใจเด็กที่ข้างเตียงคนไข้

เธอนั่งอยู่ตรงนั้น 

คนไข้เมื่อเช้า เจ้าคนสวยผมยาว คนที่ปลายผมเธอเลยหัวไหล่ลงมาเล็กน้อย เธอสวมชุดของโรงพยาบาล นั่งอยู่ที่พื้นในท่าชันเข่า เธอนั่งกอดหัวเข่าร้องไห้และมองมาที่เชียร์

“เชี่ยยยยย…แล้วเชียร์ทำไงวะ” มันกลายเป็นว่า คนที่กลัวมากกว่าใครก็น่าจะเป็นผม ไม่ใช่เชียร์

“ผมก็เดินออกจากห้องคลอดไปเลยสิครับอาจารย์ อยู่ไม่ไหวแล้ว”

………………………….

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดกับตัวผม แต่มันคือเรื่องที่อาจารย์เชียร์เจอมาจริงๆ ตั้งแต่เขาเป็นนักเรียนแพทย์ปีสุดท้าย หรือเป็นหมอใช้ทุนใหม่ๆ ผมกลัวผี แต่ความกลัวผีจากเรื่องเล่าของเชียร์ไม่ได้กระทบจิตไปมากกว่าการตายจากเรื่องแบบนี้

คนท้องไม่ควรตาย

การตายจากการพยายามทำแท้งไม่ควรมี

ถ้าเราได้เจอเธอก่อนหน้านี้สักห้าหกเดือน เราคงช่วยอะไรเธอได้มากกว่านี้

และมันสะเทือนใจ ที่การตายนั้นมันคือการตายอย่างเดียวดาย

จิตสุดท้ายของเธอคงผูกอยู่กับเชียร์ เค้าคือหมอคนสุดท้ายที่เธอเห็นหน้าก่อนสติจะหมดสิ้นไป

ผมควรจะเศร้ากับเรื่องนี้ มากกว่าการกลัวผีไปพร้อมกับการเล่าเรื่องของลูกศิษย์ใช่ไหม

…………..

“พี่แป๊ะ เข้าชะอวดทางไม้เสียบนะคะ ยูเทิร์นแถวปั๊มปตท. ที่เคยนัดรับยากับพี่ ทางเข้านั้น จะง่ายสุดค่ะ สั่งอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ” แหม่ วิธีการส่งข้อความมานั้น ประหนึ่งเราเคยรับส่งยาเสพติดกันมาก่อน

“เยี่ยมโอชา” เป็นร้านอาหารตั้งอยู่ชิดถนนริมคลองชะอวด ผมขับรถผ่านตลาดสดที่เพิ่งวายไป มาจอดรถอยู่ทางด้านหลังของร้าน

“หมอมาแล้ว ของหมออ้อม” คุณป้าที่ผมเดาว่าแกคงเป็นเจ้าของร้านตะโกนบอกลูกน้อง แล้วแกก็เดินนำผมไป ผ่านห้องครัว ผมเห็นเตาอั้งโล่ราว ๕-๖ เตา จุดติดถ่านไม้รอไว้สัก ๒ เตา มันครุกรุ่น ไอร้อนปะทะหน้า ผมเดาว่าเขาคงเตรียมไว้สำหรับการปิ้งย่างเผา

ครัวสะอาดมาก

“กุ้งแม่น้ำต้มกะทิใส่หน่อไม้ดอง” มันคือของแปลก เพราะที่เคยกินก็ใส่เฉพาะยอดมะพร้าว หรือไม่ก็หน่อไม้สด ผมตักน้ำแกงขึ้นมาซด

“พรุด” เสียงซดแบบเบาๆ มันซดพรูดๆ ไม่ได้เพราะร้อน หวานอ่อนๆ กลิ่นหน่อไม้ดองมันกรุ่น นี่ถ้าได้มาแกงส้มกับปลาขี้ตังหรือไม่ก็ปลาดุกทะเลมันน่าจะเด็ดดวง

กุ้งแม่น้ำตัวเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อยถูกตักมาวางบนข้าวสวย เนื้อมันเด้ง หัวมันมีมันเยิ้มพอให้คลุกข้าวได้เป็นเนื้อสีส้มอ่อน

“น้ำพริกแมงดา” ถูกยกมาเป็นจานถัดไป แตงกวา มะระสด มะเขือเปราะ ถั่วพู และลูกเนียง คือผักเหนาะ พริกสดในถ้วยน้ำพริกถูกผมกัดดังกร้วม เผ็ดซ่าเพียงติดลิ้น ผมนึกขำในใจ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นนักกินพริกไปเสียแล้ว หรือชาติก่อนผมเกิดเป็นนกขุนทอง

“ผัดผักบุ้งไฟแดง” คือจานถัดมา เอ๊ะ..ไม่ได้สั่ง ผมจำได้ว่า บอกน้องเพียง ๒ รายการ

ผมสังหรณ์ในใจ มาแบบนี้ ผมกลัวจะไม่ได้จ่ายเงิน แต่อย่าเพิ่งฟุ้งไป ในเมื่อกับข้าวทั้ง ๓ อย่างตรงหน้ามันอร่อยเสียเหลือเกิน เสียอย่างเดียว นี่ถ้ามีสะตอเผาคงจะเพอร์เฟค น้ำพริกแมงดามันคงจะทำให้ผมฟินเพิ่มขึ้นไปอีก

ไม่ทันสิ้นจากความคิด เพราะจู่ๆ เขาก็เอาสะตอเผาใส่จานมาให้เสียพูน น้ำตาแทบร่วง นี่ผมมีบุญขนาดนี้เลยหรือ เพียงแค่คิดในใจไม่บอกใคร สะตอก็ถูกเผาใส่จานมาประเคน

“สะตอ ทั้งร้านมีแค่นั้นนะคะ ทีแรกน้องเขาแจ้งมาว่า วันนี้ไม่มีสะตอนะคะ เฮ้ย ได้ไง แต่สุดท้ายมันมี ๒ ฝัก พอดีที่นึง แปร๊ะ” เธอคงตั้งใจเขียนว่าแปร๊ะแทนคำว่า “เป๊ะ”

ผมตั้งใจเก็บมะเขือเปราะไว้กินท้ายสุด มันน่าจะจัดการกับกลิ่นสะตอในปากได้ระดับหนึ่ง

“หมออ้อมจ่ายเงินให้แล้วนะคะ” น้องคนหนึ่งเดินมาบอก

“ไอหมาอ้อม จ่ายทำไม ฮาย…” ผมส่งข้อความไป

“แต่ก็ขอบใจนะน้อง มันอร่อยจริงๆ นี่ถ้าไม่ได้เธอ พี่ไปกินข้าวมันไก่จริงๆ นะ” ผมนึกไป

“ยอม ยอมเป็นข้าวมันไก่” เสียงเพลงของเจมส์ ชูศักดิ์แว่วมาในหัว

…………………

วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ผมต้องขึ้นไปกรุงเทพฯ เพื่อบรรยายเรื่องทำแท้งที่ศูนย์ราชการ

มีคนถามว่า “ทำไมต้องทำแท้ง”

ผมก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง เพราะผมเองก็ไม่ได้ลุ่มหลงมัน ผมก็ไม่ได้ชอบทำแท้งไง ตอบแบบนี้มาเกินสิบปีแล้ว

แต่เมื่อถามว่า “ถ้าไม่มีใครทำแท้ง มันจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นได้บ้าง” คำถามแบบนี้ คนที่ไม่เคยคุยกับคนที่มีปัญหาท้องไม่พร้อมอาจจะไม่อิน

แต่ถ้าวันหนึ่งที่คนๆ นั้น เป็นคนที่เรารัก เป็นพี่ เป็นน้อง หรือกระทั่งเป็นลูก เราคงจะตอบคำถามที่ผมถามได้

ผมจะต้องถามแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่?

……………………….

สะตอเผาที่ผมเชื่อว่ามาจากอั้งโล่เม็ดแล้วเม็ดเล่าถูกบิออกจากฝัก วางบนน้ำพริกแมงดา ตักเข้าแล้วเคี้ยวกร้วมๆ 

ชื่อว่าสะตอ จะกินเม็ดเดียวหรือกินทั้งฝัก ปากก็เหม็นเท่ากัน ว่าดังนั้นผมจึงกินไปไม่ยั้ง เพราะยังไงมันก็ปากเหม็นเท่ากันไง

แต่ช้าก่อน

ต้องไม่ลืมว่า เมื่อตื่นเช้ามา เวลาขี้ สะตอเม็ดเดียวกับสะตอทั้ง ๒ ฝักที่กินเข้าไปนั้น มันเหม็นไม่เท่ากัน จริงๆนะ จะบอกให้ เพราะเมื่อกี๊ผมขี้มาแล้ว หมดพุง สี่ทุ่มครึ่ง

ธนพันธ์ ชูบุญ ณ ชะอวด ๒๖ มค ๖๒

ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/660528
ทำแท้งและการตายอย่างเดียวดาย โดย ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 4.6 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 12

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้